วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รักของผีเสื้อ (ยังไม่เสร็จ)



หนอนผีเสื้อสองตัวอาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน
ขณะกำลังหาอาหารก็บังเอิญได้พบกัน
เกิดเป็นรักแรกพบขึ้นทันที










ทั้งสองได้ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกัน จึงได้ช่วยกันสร้างที่พักอาศัยและเพื่อกลายเป็นดักแด้พร้อมกัน











แล้ววันที่ทั้งสองกลายเป็นดักแด้ก็มาถึง
ทั้งสองสัญญาว่า ไม่ว่าต่างฝ่ายจะกลายเป็นอะไร
ก็จะรักกันอยู่เหมือนเดิม










ฝ่ายหนึ่งกลายเป็นผีเสื้อราตรี ที่แพ้แสงอาทิตย์
ตื่นตอนกลางคืน และนอนหลับตอนกลางวัน











อีกฝ่ายกลับกลายเป็นผีเสื้อกลางวัน
นอนหลับยามกลางคืน ตื่นยามกลางวัน











แม้การใช้ชีวิตจะต่างกัน แต่ทั้งสองก็ยังคงรักกันอยู่เหมือนเดิม
แม้มีแค่เพียงช่วงเวลาใกล้เช้า กับ ก่อนมืดเท่านั้น
ที่ทั้งสองจะได้ใช้เวลาร่วมกัน ก่อนอีกฝ่ายหนึ่งจะหลับ มันก็มีความสุขเพียงพอแล้ว








เย็นวันหนึ่ง ยามที่ผีเสื้อราตรีตื่นขึ้นมา กลับไม่เหมือนเดิม ไม่มีผีเสื้อกลางวันอยู่ข้างกายเหมือนทุกวัน
มันจึงเฝ้ารอไม่ออกไปหาอาหารอยู่ไม่ไปไหนจนถึงเช้าอีกวันหนึ่ง








มันรอจนสายแล้วผีเสื้อกลางวันที่เป็นที่รักของมันก็ยังไม่กลับ
ความเป็นห่วงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันจึงตัดสินใจบินออกไปตามหาทันที









มันบินฝ่าแสงแดดไปยังทุ่งดอกไม้ที่ผีเสื้อกลางวันชอบไป
แม้จะเจ็บปวดจากการแพ้แสงอาทิตย์
แม้ปีกจะค่อยๆขาดจากแสงแดด
แม้ไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่
มันก็ทนบินฝ่าไป







และเมื่อถึงทุ่งดอกไม้ มันก็พยายามตามหาแต่ก็ไม่เจอ  ผีเสื้อราตรีตัวน้อยก็เลยนั่งพักหลับแสงแดดอยู่ใต้ดอกไม้ดอกใหญ่สักพัก ก่อนจะออกตามหาอีกครั้ง









แต่ขณะที่มันยังไม่ทันได้ออกตามหา มันก็ถูกมนุษย์จับได้เสียก่อน
มันถูกพาไปโดยมิอาจขัดขืน
เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งมันก็ถูกกดลงกับพื้น
แล้วก็....








"ฉึก"
มันได้ถูกเข็มหมุดเสียบติดกับพื้น
เจ้าผีเสื้อพยายามดิ้นออกจากหมุด
แต่ก็ทำไม่ได้ มันไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว
ไม่สามารถไปไหนได้อีกแล้ว
และกำลังจะ "ตาย"







มันรู้สึกเสียใจมาก ไม่ใช่เสียใจที่มันกำลังจะตาย
แต่เสียใจที่มันจะไม่ได้พบกับผีเสื้อกลางวันที่เป็นที่รักของมันอีกต่อไปแล้ว
มันได้แต่มองไปรอบๆ แล้วก็นึกฝันไปเองว่าอาจจะได้พบกันผีเสื้อที่รักของมันอีกสักครั้ง








แล้วมันก็ได้หันไปพบกับสิ่งที่มันคิดว่าฝันไป
แต่มันไม่ได้ฝันไปแน่ๆ
มันได้พบกับผีเสื้อกลางวันแล้ว เธออยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง









มันเรียกผีเสื้อกลางวัน แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา
แต่มันก็ยังพยายามตะโกน เพื่อให้ผีเสื้อกลางวันได้ยินว่ามันอยู่ตรงนี้
มันพยายามเอื้อมมือไปหาแต่ก็ไม่ถึง









ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับจากเธอ
ไม่แม้แต่จะขยับ
ผีเสื้อกลางวันยังคงหลับตาเหมือนเดิม










สุดท้ายมันก็ได้รู้
ว่าทำไมเธอถึงไม่ตอบ
ว่าทำไมเธอถึงไม่ลืมตา
ว่าทำไมเธอถึงไม่กลับบ้าน
ทุกคำตอบนั้นอยุ่ที่หมุดเล่มเดียวเท่านั้นที่ปักอยู่ที่ตัวของเธอ






ดวงตาของมันเริ่มพร่าเลือน มันพยายามเอื้อมมือไปหาแม้รู้ว่าจะไม่ถึงเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ก่อนที่ทุกสิ่งจะเริ่มเลือนลางหายไป
มีบางอย่างกลับยิ่งชัดเจนขึ้น









ภาพความทรงจำแห่งความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันได้ส่องแสงสว่างชัดเจนอยู่ในใจของมันอีกครั้ง
ก่อนจะดับวูบไป
.
.
.







ตอนนี้เหลือเพียงซากแห่งความทรงจำเล็กของผีเสื้อน้อยทั้ง 2 อยู่เคียงข้างกันตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นางเงือกผู้ใจดี

บนเกาะเล็กๆที่ห่างไกลจากโลกภายนอก
มีชาวเงือกจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่อย่างสงบ
มาเป็นเวลานาน
ชาวเงือกนั้นสามารถเปลี่ยนขาให้กลายเป็นหางปลาได้ตามใจชอบ และชอบเก็บไข่มุกใต้ท้องทะเลมาทำเป็นเครื่องประดับเสมอ







ในวันหนึ่งมีมนุษย์คนหนึ่งหมดสติอยู่ริมชายหาด
ชาวเงือกจึงช่วยเหลือไว้ และให้พักอาศัยอยู่บนเกาะ










หลายวันผ่านไปชายหนุ่มอาการดีขึ้นแล้วแต่เขา
ไม่สามารถออกจากเกาะได้เพราะเกาะนั้นอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินมาก
และชาวเงือกก็ไม่ยอมให้ชายหนุ่มออกจากเกาะเพราะกลัวมนุษย์จะรู้ที่อยู่ของเกาะ
แต่มีนางเงือกผู้ใจดีตนหนึ่งได้เฝ้ามองอยู่ด้วยความสงสาร






นางเงือกผู้ใจดีจึงบอกกับชายหนุ่มว่าอีกไม่กี่วันจะมีเรือของมนุษย์ผ่านมาใกล้ๆ
และจะนำทางไปหาเรือลำนั้นเอง
เมื่อวันที่เรือมาถึงนางเงือกผู้ใจดีก็ได้พาชายหนุ่มไปที่เรือลำนั้นตามที่บอก








หลังจากที่ชายหนุ่มจากเกาะไปไม่นาน
ก็มีเรือลำหนึ่งเข้ามาที่เกาะ
ชาวเงือกบนเกาะต่างประหลาดใจมาก










ทันทีที่เรือมาถึงเกาะคนบนเรือลำนั้นต่างก็ลงมาที่แล้วก็วิ่งเข้ามาทำร้ายชาวเงือกทั้งหลายเพื่อที่จะแย่งชิงไข่มุกจากชาวเงือกทั้งหมด










ชาวเงือกต่างพากันหนีลงทะเล
และรวมกลุ่มกันเพื่อหาเกาะอื่นอาศัย
แต่ทั้งหมดต่างก็คิดว่าเป็นความผิดของเงือกผู้ใจดีตนนั้น
ที่ปล่อยให้ชายหนุ่มออกไปจากเกาะ
และต่างก็ไม่ให้นางเงือกผู้ใจดีไปด้วย
จึงทิ้งให้นางเงือกอยู่ตามลำพัง







สุดท้ายนางเงือกผู้ใจดีจึงถูกทิ้งไว้ให้อยู่เพียงตนเดียวท่ามกลางท้องทะเลที่กว้างใหญ่ตลอดไป

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กระต่ายหลงจันทร์

มีกระต่ายตัวหนึ่งได้เฝ้ามองดวงจันทร์มานาน
แสนนาน
มันชอบเวลาจันทร์เต็มดวงที่สุด











จนคืนหนึ่งมันรู้สึกว่ามันได้หลงรักพระจันทร์
เข้าแล้ว
และมันก็คิดว่าวันหนึ่งมันต้องขึ้นไปหา
พระจันทร์ให้ได้









เมื่อกระต่ายตัวอื่นๆรู้จึงบอกว่ามันบ้าไปแล้ว
ไม่มีกระต่ายตัวใดไปอยู่บนพระจันทร์ได้หรอก
แต่มันก็ไม่ได้สนใจและเริ่มออกเดินทาง
เพื่อไปหาพระจันทร์









มันพยายามหายอดเขาที่สูงที่สุดเพื่อปีนขึ้นไป
หาพระจันทร์
และแล้วมันก็ได้พบกับสิ่งที่มันต้องการ










มันจึงเริ่มปีนขึ้นไป
สูงขึ้น
สูงขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะลำบากและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด
เพื่อพระจันทร์ที่มันรัก
กระต่ายจึงพยายามปีนต่อไปจนถึงยอดเขาจนได้







เมื่อถึงยอดเขาเจ้ากระต่ายก็ได้นั่งมองพระจันทร์
และนึกถึงภาพที่มันฝันไว้
การได้อยู่กับพระจันทร์ที่มันรัก
ใกล้จะเป็นความจริงแล้ว









พระจันทร์ที่มันเห็นตอนนี้ช่างอยู่ใกล้เหลือเกิน
แต่ก็ยังไม่ใกล้พอที่ได้ไปหาได้
มันจึงปีนต้นไม้บนยอดเขาขึ้นไป
เพื่อให้ได้ใกล้กับพระจันทร์ขึ้นอีกสักนิด









อยู่บนยอดไม้ ดวงจันทร์ช่างใกล้เหลือเกิืน
มันพยายามเอื้อมมือไปสัมผัส
แต่ก็ไม่ถึง
ใกล้แค่เพียงนี้ก็ยังไม่สามารถไปหาได้
มันจึงตัดสินใจรวบรวมแรงทั้งหมดเท่าที่มี
กระโดดไปหาพระจันทร์ที่มันรัก







ตุ้บ


ช่างห่างไกล และเย็นชายิ่งนัก
เจ้ากระต่ายมองดวงจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะหลับตาลงไป

ตลอดกาล

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อิสระของนกในกรงไม้

เจ้านกน้อยอาศัยอยู่ในกรงไม้เล็กๆมาตั้งแต่เกิด
ไม่เคยอดอยากเรื่องอาหารและน้ำเลย











มันได้มองผ่านซี่กรงไม้ทุกๆวัน
แล้วก็นึกว่าภายนอกกรงนี้จะเป็นอย่างไรนะ











วันหนึ่งได้มีแมวนักเดินทางผ่านมา
มันจึงได้ถามแมวว่าโลกภายนอกนั้นเป็นอย่างไร











แมวนักเดินทางจึงเล่าถึงเรื่องราวต่างๆของ
โลกภายนอกให้เจ้านกน้อยฟังอย่างสนุกสนาน











พอได้ฟังเรื่องโลกภายนอกจากแมวนักเดินทางแล้ว
มันก็ยิ่งอยากออกจากกรงเพื่อไปดูโลกภายนอก
มันจึงขอร้องให้แมวพามันไปด้วย










แมวนักเดินทางก็ตกลงจะพาเจ้านกน้อยไปด้วย
แต่กรงไม้นั้นก็แข็งแรงมาก
ทั้งคู่เลยช่วยกันค่อยๆพังกรงไม้ทีละซี่










ทั้งสองได้ใ่ช้เวลานานมากในการทำลายกรงนั้น
และในที่สุดกรงไม้ก็ถูกทำลาย
จนเจ้านกน้อยสามารถออกไปได้










ทั้งคู่จึงโผเข้าไปหากันด้วยความดีใจ












และแล้วแมวนักเดินทางก็ตบเจ้านกน้อยจนตาย
และกินเป็นอาหารทันที











เมื่อมันกินเสร็จแล้วมันก็เดินทางต่อไปอย่างมีความสุข










วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชาวนากับนางฟ้า

ชาวนาคนหนึ่งมีชีวิตที่เรียบง่าย เขามีความสุขกับการทำไร่ ทำนา เก็บของป่า
เพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเองในแต่ละวัน









วันหนึ่ง เขาเข้าไปเก็บของป่าตามปกติ แต่วันนี้ เขาได้พบกับหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ในป่า











เขาจึงเข้าไปถามหญิงสาวว่า เธอมานั่งร้องไห้ทำไม
หญิงสาวตอบว่า เธอเป็นคนบนฟ้าแต่ว่าเธอทำปีกหายไปในป่านี้ ทำให้เธอกลับไปบนฟ้าไม่ได้










เมื่อได้ฟังชาวนาก็สัญญาว่าจะช่วยหาและชวนให้เธอมาพักที่บ้านของเขาก่อน











หลายวันผ่านไปชาวนาก็ยังหาปีกของเธอไม่เจอ แต่ชาวนากลับผูกผันกับเธอมากขึ้นจนเกิดเป็นความรัก










วันหนึ่งชาวนาคิดว่าถ้าหาไม่เจอก็ต้องทำปีกใหม่ให้เธอก็ได้ จึงเดินทางลึกเข้าไปในป่าเพื่อไปถามหาวิธีจากพ่อมดผู้รอบรู้










เมื่อพบกับพ่อมด ชาวนาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อมดฟัง พ่อมดบอกกับชาวนาว่า ข้าจะทำปีกให้เจ้าก็ได้ แต่ขอแลกกับขาของเจ้าข้างหนึ่ง











ชาวนาดีใจมากตอบตกลงทันที พ่อมดจึงทำปีกให้กับชาวนา และชาวนาก็เหลือขาเพียงข้างเดียว













แม้ขากลับบ้านจะลำบาก ชาวนาก็สามารถนำปีกไปให้เธอจนได้ หญิงสาวบนฟ้าคนนั้นดีใจมากที่ชาวนานำปีกมาให้ เธอบอกกกับชาวนาว่าเธอจะอยู่กับชาวนาตลอดไป









แต่ขาข้างเดียวนั้นทำให้ชาวนาไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม เมื่อความลำบากมากขึ้นหญิงสาวบนฟ้าก็เริ่มไม่มีความสุข










วันหนึ่งหญิงสาวบนฟ้าทนความลำบากไม่ไหว จึงบินหนีชาวนาขาเดียวกลับไปบนฟ้าตามเดิม











ชาวนาขาเดียวนั้นได้แต่ยืนมองหญิงสาวบนฟ้าบินจากไปด้วยน้ำตา











เหตุการณ์ทุกอย่างพ่อมดได้เฝ้ามองอยู่แล้ว พ่อมดจึงมาหาชาวนาแล้วบอกกับชาวนาว่า ตอนนี้หญิงสาวบนฟ้าไม่ได้รักเจ้าอีกแล้ว เจ้าต้องการให้ปีกของนางหายไปแล้วกลับมาเป็นขาของเจ้าเหมือนเดิมหรือไม่








ชาวนาขาเดียวตอบว่า แม้หญิงสาวบนฟ้าจะไม่รักข้า แต่ข้ายังรักนาง สิ่งที่ข้าต้องการคือการเฝ้ารอนางกลับมาหาข้าตลอดไป ข้าจะยอมแลกทุกอย่าง ท่านจะทำให้ข้าได้หรือไม่









พ่อมดบอกว่าได้ แต่้ต้องแลกกับประสาทสัมผัสทุกอย่างของชาวนา และชาวนาขาเดียวก็ตอบตกลง พ่อมดจึงทำให้ความต้องการของชาวนาขาเดียวเป็นความจริง









จากนั้นมาชาวนาก็ได้เฝ้ารอหญิงสาวบนฟ้าอยู่ในที่นาของเขาตลอดไป...